Riding Alone for Thousands of Miles : หนังเก่าที่เนื้อหาไม่เคยเก่า
ภาพยนตร์เรื่อง
“Riding Alone for Thousands of Miles” หรือที่รู้จักกันในชื่อไทยว่า
“เส้นทางรักพันลี้” ฉายครั้งแรกเมื่อปี 2005 กำกับโดยผู้กำกับชื่อดังอย่าง จาง อวี้โหมว ผู้สร้างสรรค์ผลงานภาพยนตร์อันยอดเยี่ยมให้เราได้รับชมมาแล้วหลายต่อหลายเรื่อง
โดยเนื้อหาของเรื่องนี้มีอยู่ว่า ทาคาตะ โกวอิจิ ชายชราชาวประมงได้ทราบข่าวร้ายจากลูกสะใภ้ของเขาว่า
เคนอิจิ ลูกชายเพียงคนเดียวของเขากำลังจะตาย เนื่องจากป่วยเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้าย
โกวอิจิจึงได้เดินทางเข้าเมืองเพื่อที่จะไปพบเคนอิจิ ทั้ง ๆ ที่ตัวเขาเองก็รู้ดีว่า
ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับลูกชายนั้น ไม่ลงรอยและเหินห่างกันมานานแล้ว เมื่อเขาไปถึงโรงพยาบาลกลับต้องพบกับความผิดหวังเนื่องจากลูกชายของเขาไม่ต้องการพบ
วันหนึ่งลูกสะใภ้ได้ส่งวิดีโอมาให้เขาดูเพื่อหวังต้องการให้ตัวเขารู้จักลูกชายตัวเองมากขึ้น
เป็นวิดีโอที่เคนอิจิได้ไปถ่ายทำเกี่ยวกับเรื่องงิ้วที่ประเทศจีน เมื่อโกวอิจิดูวิดีโอจบก็เกิดไอเดียต้องการทำอะไรบ้างอย่างเพื่อลูกชายของเขา
นั่นคือการเดินทางไปบันทึกภาพการแสดงงิ้ว ในตอน กวนอูควบอาชาโดดเดี่ยวพันลี้ ของ
หลี่ เจียหมิน
ในภาพยนตร์เรื่องนี้ได้แฝงความหมายอันลึกซึ้งไว้ในหลาย
ๆ จุด ซึ่งอาจต้องอาศัยความรู้ ประสบการณ์
ในการตีความเพื่อที่จะเข้าใจว่าในแต่ละฉากของภาพยนตร์ ผู้สร้างเขาต้องการที่จะสื่ออะไรกับเรา
ไม่ว่าฉากนั้นจะสำคัญมากหรือสำคัญน้อยก็ล้วนแฝงไปด้วยความหมายบางอย่าง อย่างในฉากที่
ทาคาตะ (ทาคาตะ โกวอิจิ ต่อไปนี้ขอเรียก โกวอิจิ ด้วยนามสกุล เนื่องจากในภาพยนตร์ ตัวละครต่าง
ๆ เรียกตัวเอกของเรื่องด้วยนามสกุลว่า ทาคาตะ) กำลังคุยโทรศัพท์กับ ริเอะ
ผู้ซึ่งเป็นลูกสะใภ้ในช่วงต้นเรื่องหลังจากกลับมาจากโรงพยาบาล ริเอะที่กำลังยืนคุยโทรศัพท์และร้องไห้อยู่บนดาดฟ้า
ในระหว่างนั้นเองก็มีอีกาตัวหนึ่งบินผ่านข้างหลังไป
แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่จะมีอีกาบินผ่านกล้องในขณะกำลังถ่ายทำ ผู้สร้างเขาต้องการสื่อให้รู้ว่ากำลังจะมีลางร้ายเกิดขึ้น
ซึ่งมันเป็นเรื่องของ สัญญะ ที่คนเราเชื่อว่าอีกาเป็นสิ่งนำมาซึ่งลางร้าย เป็นสัตว์บอกข่าว
บ้างก็ว่าถ้ามีอีกาบินผ่านมาเมื่อไร ไม่นานก็จะมีคนเสียชีวิต นั่นคือสิ่งที่ฉากนั้นต้องการจะบอกให้เรารู้เป็นนัย
ๆ กำลังจะมีคนตายนะ ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้น เพราะในท้ายที่สุดแล้ว เคนอิจิ
ก็เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตับ
ในเรื่องทาคาตะได้เดินทางไปยังประเทศจีนเพื่อต้องการบันทึกภาพการแสดงงิ้วที่ลูกชายของเขาพลาดไม่ได้ชม
การที่ทาคาตะซึ่งเป็นคนญี่ปุ่นเดินทางไปยังประเทศจีน
ปัญหาที่เกิดขึ้นแน่นอนว่าย่อมเป็นกำแพงทางภาษา ทาคาตะพูดและฟังภาษาจีนไม่ออก ถึงแม้ว่าจะมีล่ามอย่าง
เจียง เหวน แต่เธอก็ไม่ได้อยู่ช่วยแปลให้ตลอด ทำให้ความลำบากตกไปอยู่ที่ ชิว หลิน
ไกด์ท้องถิ่นที่รู้จักกับเธอ ผู้อาสาจะพาทาคาตะไปพบกับ หลี่ เจียหมิน ที่อยู่ในคุก
ถึงแม้ว่า ชิว หลิน จะพูดภาษาญี่ปุ่นได้บ้าง แต่นั่นก็ไม่ช่วยอะไรเท่าไรนัก ในชีวิตจริงหากคนเราเจอสถานการณ์แบบนี้
บางคนอาจชิ่งหนีไปแล้วก็ได้ แต่ในเรื่องนี้กลับไม่ได้เป็นอย่างนั้น ชิว หลิน
ได้ให้ความช่วยเหลือ ทาคาตะ อย่างเต็มที่ โดยไม่รับค่าตอบแทน
มันแสดงให้เห็นถึงความมีน้ำใจของคนจีนที่มีต่อคนญี่ปุ่น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฉากที่ทาคาตะเดินทางไปเดินหมู่บ้านศิลา หมู่บ้านที่ หยาง หยาง ลูกชายของหลี่
เจียหมิน อาศัยอยู่
ในฉากนั้นเราจะเห็นชาวบ้านต่างต้อนรับทาคาตะผู้เป็นแขกด้วยความอบอุ่น
มีการจัดเลี้ยงต้อนรับ ชาวบ้านต่างหยิบโต๊ะออกมาต่อกันเป็นทอด ๆ
เรียงเป็นแถวเดียวยาว อันเป็นวัฒนธรรมของคนจีน
ทั้งหมดนี้ในภาพยนตร์ได้แสดงให้เราเห็นว่าคนจีนมีความสัมพันธ์อันดีกับคนญี่ปุ่นมาก
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว คนจีนไม่ค่อยชอบคนญี่ปุ่น ถึงขั้นไม่ชอบมาก
ด้วยเหตุที่ว่าในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น คนญี่ปุ่นได้สร้างวีรกรรมอันเลวร้ายมากไว้กับประเทศจีน โดยการสังหารหมู่ชาวจีนที่นานกิง
ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นนานแล้ว แต่ความแค้นของคนจีนกลับไม่ได้ลดน้อยลงเลย
ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเป็นสื่อที่อาจจะเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้ดีขึ้นก็เป็นได้
มีช่วงหนึ่งของเรื่อง
หลังจากที่ ทาคาตะ พา หยาง หยาง ออกมาจากหมู่บ้านเพื่อจะพาไปพบพ่อของเขา จู่ ๆ
รถที่โดยสารมาก็มีปัญหาเครื่องยนต์ขัดข้องทำให้เดินทางต่อไปไม่ได้
ทั่งหมดจึงลงจากรถ ในระหว่างนั้นเอง หยาง หยาง ก็ได้ออกไปเดินเล่น
และได้เดินลงเขาไป ทาคาตะ เห็นท่าไม่ดีจึงได้ตามลงไปด้วย
ทำให้ทั้งสองคนนั้นหลงทางอยู่ในหุบเขาด้านล่างนั่น ในฉากนี้สื่อให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของ
ทาคาตะ กับ หยาง หยาง ที่เริ่มต้นกันได้ไม่ดีนัก แต่เมื่อเผชิญปัญหาอย่างยากลำบากด้วยกัน
ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็เริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนกับพ่อลูกคู่หนึ่งเลยทีเดียว ความรู้สึกของการเป็นพ่อของทาคาตะที่ห่างหายไปนาน
ก็ได้รับกลับมาอีกครั้ง และความรู้สึกที่ไม่เคยมีพ่อของ หยาง หยาง
ก็ได้รับการเติมเต็ม ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะไม่ใช่พ่อลูกกันก็ตาม
Riding Alone for Thousands of Miles ชื่อของภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้ถูกตั้งขึ้นมาเฉย
ๆ อย่างไม่มีสาเหตุ มันถูกโยงไว้กับการแสดง งิ้ว ในตอน กวนอูควบอาชาโดดเดี่ยวพันลี้
ที่กวนอูต้องฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ มากมาย ระหกระเหินเดินทางไกล
เพื่อที่จะกลับไปพบกับ เล่าปี่ ในเรื่องนี้ก็เช่นกัน ทาคาตะ ได้เดินทางไกลเป็นพันไมล์ไปยังประเทศจีนเพื่อที่จะไปบันทึกภาพการแสดงงิ้วให้กับลูกชายของเขา
ซึ่งกว่าทาคาตะจะได้บันทึกภาพ ก็ต้องผ่านอุปสรรคต่าง ๆ มากมายเช่นกัน
ซึ่งสิ่งที่เหมือนกันก็คือ ทั้งกวนอูและทาคาตะได้เดินทางไกลเป็นพันไมล์
ก็เพื่อที่จะกลับไปหาครอบครัว แต่จะต่างกันที่วิธีเล่า
ของกวนอูจะเป็นการกลับไปหาฝ่ายจ๊กโดยตรง แต่ของทาคาตะจะเป็นการไปเพื่อกลับ นั่นคือการที่ทาคาตะอยากได้ภาพการแสดงงิ้วของ
หลี่ เจียหมิน เพื่อที่จะนำกลับไปให้ลูกชายของเขาได้ดู
และหวังว่าจะความสัมพันธ์จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้
แต่ทว่าเป็นที่น่าเสียดายที่ลูกชายของเขาได้ด่วนจากไปก่อนที่ทาคาตะจะทำสิ่งที่เขาตั้งใจไว้ได้สำเร็จ
การแสดงงิ้วภายในเรื่องก็แฝงความหมายที่สำคัญของเรื่องเอาไว้เช่นกัน
ซึ่งในการแสดงงิ้วก็จะมีการสวมหน้ากากเพื่อแสดงบทบาทเป็นตัวละครนั้น ๆ
ปกปิดความเป็นตัวตนของตัวเองโดยสิ้นเชิง ซึ่งเหมือนกับเคนอิจิที่ปิดกั้นความรู้สึกของเขาที่มีต่อพ่อ
โดยในตอนท้ายของเรื่อง เคนอิจิ ได้กล่าวเอาในจดหมายว่า
ตัวเขาเองคือนักแสดงที่อยู่หลังหน้ากาก พยายามหลอกตัวเอง และทุกคนที่ใกล้ชิด
โดยที่เขาไม่ได้เข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองเลย ปิดกั้นความรู้สึกนั้นเอาไว้แม้กระทั่งในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต
แต่หลังจากที่เขาได้เห็นว่าพ่อของเขาทำเพื่อเขา เขาก็ได้เรียนรู้ว่าคนเราไม่ควรปิดบังความรู้สึกต่อกัน
แต่ในกรณีของ หลี่ เจียหมิน กลับตรงกันข้าม ในช่วงที่ทาคาตะและชิว
หลินเดินทางไปยังเรือนจำครั้งแรกเพื่อชมการแสดงงิ้วของหลี่ เจียหมิน
ในขณะที่กำลังจะเริ่มการแสดง หลี่ เจียหมินที่ขณะนั้นกำลังสวมหน้ากากอยู่
กลับปิดกั้นความเป็นตัวตนของตัวเองไม่ได้และร้องไห้ออกมาเพราะอยากพบลูกชาย
ทำให้ดำเนินการแสดงต่อไปไม่ได้นั่นเอง
ภาพยนตร์เรื่อง Riding Alone for Thousands of Miles นับว่าเป็นภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมมากเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้ ซึ่งหลังจากผมได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว ก็ทำให้ผมคิดอะไรได้หลาย
ๆ อย่าง ตัวผมซึ่งเวลาออกไปสู่สังคมภายนอกก็มักจะสวมหน้ากากและปิดกั้นความเป็นตัวของตัวเองเอาไว้
ทำให้ไม่สามารถบอกในสิ่งที่เราต้องการได้อย่างเต็มที่
แต่นั้นก็เป็นเรื่องปกติทั่วไปเวลาเราออกสู่โลกภายนอก
แต่กับคนในครอบครัวการที่ใส่หน้ากากเข้าหาไม่นับว่าเป็นเรื่องที่ดีเลย
เพราะจะเกิดการไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน ไม่สามารถรับรู้ในความต้องการของอีกฝ่ายได้
อาจทำให้ครอบครัวเกิดความแตกแยกได้ ดังนั้นสิ่งที่ผมอยากจะฝากไว้ก็คือ
แสดงความรู้สึกที่แท้จริงกับคนในครอบครัวออกมาดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกที่ดี
หรือความรู้สึกที่ไม่ดี เพราะการได้บอกในสิ่งที่เราต้องการ ก็จะทำให้คนเราเข้าใจกันได้มากขึ้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น