‘ละครอิงประวัติศาสตร์ มหรสพน้ำเน่าของชาวบ้าน’ : เสวนาเกือบวิชาการระหว่างนิสิตปริญญาโทกับป้าสารภี
Story by Sorarat Jirabovornwisut
“ทำไมพระสุริโยไทไม่ตบหน้านังท้าวศรีสุดาจันทร์สักฉาด-สองฉาด ปล่อยให้มันยืนด่าฉอดๆอยู่ได้”
ป้าสารภีพูดอย่างมีอารมณ์ขณะดูละครพีเรียดอิงประวัติศาสตร์เรื่องหนึ่งพร้อมๆกับรีดผ้าไปด้วย
“ละครเมโลดราม่าก็อย่างนี้แหละป้า มันต้องเร้าอารมณ์คนดู” ผมคุยไปกินปลาหมึกย่างไป
“ไอ้เมลง-เมโลดราม่านี่มันคืออะไรวะ ?”
แกหันมาถามขณะเอากระบอกฉีดน้ำพรมไปที่กางเกงยีนส์ตัวหนา
ผมคิด พยายามหาคำอธิบายที่แกพอจะเข้าใจ “ก็ประมาณละครน้ำเน่าอะไรอย่างเงี้ยะ”
“ไปหาว่าเรื่องของท่านน้ำเน่า ระวังเหาจะกินหัว นี่มันเรื่องของจ้าวของนายเชียวนา ทั้งพระเทียร พระไชยราชา ขุนวรวงศา ขุนพิเรนทร์นั่นก็มีอยู่จริง สงสารก็แต่พระสุริโยไท ถูกพม่ามันฟันขาดคอช้างตายเพราะช่วยพระสวามี” ป้าสารภีว่าเป็นฉากๆ
“แล้วป้ารู้ได้ไงว่าเรื่องที่ป้าพูดมาเป็นเรื่องจริง ?”
ผมอยาจะเอาตำราว่าด้วยวาทกรรมของมิเชล ฟูโกต์ที่บอกว่าความรู้ทุกอย่างล้วนถูกนำมาใช้เพื่อแสวงหาอำนาจมาให้แกอ่านจริงๆ
“ใครๆเขาก็รู้กันทั้งนั้น ครูบาอาจารย์ที่มหา’ลัยแกไม่สอนมั่งหรือไง”
แน่ะ ! ดูแกย้อน
“ก็สอน-- แต่ก็ไม่เห็นต้องเชื่อ” ผมตอบ ป้าสารภีมองหน้า
“ประวัติศาสตร์มันก็เกิดจากการประกอบสร้างทั้งนั้นแหละ ความจริง-ความลวงอาจจะปะปนอยู่ในบรรทัดเดียวกันก็ได้ ยิ่งละครอิงประวัติศาสตร์ยิ่งแล้วใหญ่ ใส่สีตีไข่ไปเรื่อย อาศัยแต่ว่าถูกใจ ไม่ได้คิดถึงความถูกต้อง”
“แล้วอะไรคือความถูกต้อง ?” ป้าสารภีถาม
เอาแล้วไง กินหางตัวเองเข้าจนได้
“ก็ความจริงไงคือความถูกต้อง... แต่เผอิญมันไม่มี” ผมยักไหล่
ป้าแกถามเสียงสูง “เหรอ ?”
“หรือป้าว่ามี ?” ผมถามแกกลับมั่ง เหงื่อผุดเต็มหน้า น้ำจิ้มปลาหมึกย่างเผ็ดชะมัด
ป้าสารภีเอาเตารีดรุ่นโบราณหุ่นเทอะทะรีดย้ำๆบนกางเกงยีนส์ตัวเก่า
“ถ้าอยากรู้ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ ทำไมไม่ดูสารคดีล่ะ คนดูละครก็ดูกะเอามันด้วยกันทั้งนั้น แต่ป้าว่าของทุกอย่างมันก็ต้องมีเค้าความจริงอยู่บ้างล่ะ จะมากจะน้อยก็แล้วแต่ ถึงแม้เรื่องโกหกพกลมก็ยังต้องกุมาจากเรื่องจริงเลย นับประสาอะไรกับเรื่องในละคร” ป้าสารภีพูดจบ ละครก็ตัดเข้าโฆษณาพอดี ผมมีสมาธิเถียงกับแกจริงๆจังๆแล้ว
“ก็มีส่วนถูก แต่ไม่ถูกทั้งหมด คนเขียนบทเขา ‘สร้างเรื่อง’ ปะติดปะต่อเพิ่มมาเพื่อจะนำเสนอบทบาทของสตรีตามแนวคิดเฟมินิสม์ยกย่องเชิดชูว่าแท้จริงแล้วผู้หญิงต่างหากที่อยู่เบื้องหลังอำนาจและความสำเร็จของผู้ชายซึ่งในที่นี้ก็คือพระมหากษัตริย์... แล้วไง ?”
“แล้วความรู้สึกของพระวิสุทธิ์ฯที่ต้องสูญเสียพระสุริโยไทในการศึก แล้วยังต้องส่งองค์ดำกับพระสุพรรณกัลยาไปเป็นตัวประกันที่หงสา มันไม่จริงตรงไหนวะ อารมณ์ลูกที่ต้องเสียแม่ อารมณ์แม่ที่ต้องเสียลูก เป็นใครหน้าไหนก็ต้องสะเทือนใจทั้งนั้น”
แกเอากางเกงยีนส์จับใส่ไม้แขวน ก่อนหยิบเสื้อเชิ้ตแขนยาวบนราวมารีดต่อ
“โอเค ! แล้วป้าจะอธิบายมหรสพตบตีกันของเหล่าเมียหลวง-เมียน้อยที่แยกข้างเป็นมุมแดง-มุมน้ำเงิน เหมือนกันหมดทั้งพม่าทั้งไทยในละครเรื่องนี้ว่ายังไง”
ผมดูดน้ำเย็นในกระติกทั้งๆที่รู้ดีว่าน้ำอุ่นช่วยบรรเทาอาการเผ็ดร้อนได้ดีกว่า
“กะอีแค่เรื่องการมุ้งยังจัดการไม่ได้ นับประสาอะไรกับเรื่องการปกครองบ้านเมืองเล่า ความขัดแย้งแบ่งพรรคแบ่งพวกกันทุกวันนี้ มันก็เริ่มมาจากเรื่องของครอบครัวๆเดียวนั่นแหละ”
ถึงอยากรู้ แต่ก็ไม่กล้าถามว่าป้าสารภีแกอยู่สีไหน
“งั้นละครอิงประวัติศาสตร์ที่ฉายให้ดูก็ไม่ต่างจากเรื่องน้ำเน่าทั่วไป ถึงแม้ว่าจุดหมายปลายทางจะอยู่ที่การเทิดพระเกียรติพระมหากษัตริย์ แต่เนื้อหาก็ยังวนเวียน ซ้ำซากอยู่กับเรื่องผัวๆเมียๆ ชิงรักหักสวาท ตบจูบ ประโลมโลกย์ไปวันๆ ไม่ต่างอะไรกับลิเกของพวกชาวบ้าน”
“แล้วแกไม่ใช่ชาวบ้านเรอะ”
“ละครก็คือกระจกส่องสะท้อนสังคม ที่ลิเกหรือละครน้ำเน่าของไทยมีแต่เรื่องผัวๆเมียๆมานมนานกาเลก็เพราะว่าสังคมไทยให้ความสำคัญกับสถาบันครอบครัวมาก ไม่ว่าข้า-จ้าว-บ่าว-นาย ไพร่หรือผู้ดี ต่างก็ถูกกล่อมเกลามาจากครอบครัวเป็นพื้นฐานกันทั้งนั้น”
“ถ้าเป็นอย่างที่ป้าพูดก็แสดงว่าสังคมไทยสอนให้มีผัวเดียวเมียเดียวงั้นสิ ไม่เห็นจะจริงเลย ทีขุนแผน พระอภัยมณี ยังมีเมียตั้ง 5-6 คน”
“ก็ไม่เชิง เรียกว่าสอนให้รู้จักหลักในการครองเรือนมากกว่า ดูอย่างบุเรงนองสิ ได้ชื่อว่าเป็นผู้ชนะสิบทิศ แต่กลับแพ้ทางถูกบรรดาเมียๆ ที่อาศัยร่วมชายคาเดียวกันทำพิษ”
ป้าสารภีตบเข่าฉาดเบ้อเร่อจนผมตกใจ “มันต้องอย่างนั้นสิ ตอกกลับมันไปบ้าง อย่าเอาแต่นิ่ง”
แกไม่ละสายตาจากละครฉากสุดท้ายที่ท้าวศรีสุดาจันทร์ถูกพระสุริโยไทตอบโต้แบบนิ่มๆจนต้องหนีกลับไปตำหนักตัวเองด้วยความคับแค้นใจ
“ว้า! จบซะละ” แกบ่นอุบด้วยความเสียดาย ก่อนตั้งหน้าตั้งตารีดเสื้อให้ลูกค้าของแกต่อ
“ดูเหมือนป้าจะชอบละครน้ำเน่านะ” ผมจิ้มหนวดปลาหมึกชิ้นสุดท้ายใส่ปาก เผ็ดจนลิ้นชาไปหมด
ป้าสารภีกลับเสื้อเชิ้ตรีดด้านหลัง “แกก็ดูเหมือนจะไม่ชอบละครไทยเอาซะเลย”
“ป้าไม่คิดว่าละครพวกนี้มอมเมามั่งเหรอ” ผมดูดน้ำเย็นจนเกลี้ยงกระติก
“แกคิดว่าคนดูโง่นักรึไง ถึงได้แยกแยะดี-ชั่วไม่ออก ถูกสนตะพายจูงจมูกไปเรื่อยๆ”
“...........”
“ความคิดที่ว่าละครไทยน้ำเน่า ไร้สาระ มันฝังหัวเสียจนใจแกมืดบอด มองไม่เห็นคุณค่าที่ซ่อนอยู่ข้างใน ป้ามันความรู้น้อย จะให้ปีนกะไดดูละครยากๆแบบแกคงไม่ไหว แต่ถึงยังไงป้าก็เชื่อว่าละครทุกประเภทย่อมมีคุณค่าอยู่ในตัวของมันเอง ขึ้นอยู่กับว่าละครอะไรจะถูกจริตและรสนิยมใครมากกว่า”
ผมมอง end-title ละครที่จบลงสลับกับป้าสารภีด้วยสายตาที่แปลกไป
ป้าสารภีพ่นละอองน้ำลงบนแขนเสื้อ ก่อนหยิบเตารีดมาไถย้ำๆอย่างที่เคยทำมาทั้งชีวิต
“ทำไมป้าไม่ใช้ตารีดไอน้ำล่ะ สะดวกกว่า รีดเรี่ยมกว่าตั้งเยอะ” ผมถาม
ป้าสารภีเงยหน้าขึ้นมายิ้มจนเห็นฟันปลอมเหลืองอ๋อย
“ก็มันไม่ถนัดนี่หว่า !”
ผมลาป้าสารภีกลับบ้าน ใจยังคุกรุ่นคิดถึงสิ่งที่แกพูด กะว่าจะลองเปิดใจให้ “ละครน้ำเน่า”ดู
ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัว...
“หรือว่าสังคมไทยจะเป็นสังคมน้ำเน่า ?”
ขณะเดินผ่านสะพานปูนข้ามคลองแสนแสบ หูผมได้ยินเสียงชาวบ้านทะเลาะกันล้งเล้งเรื่อง
...ผัวหนีไปมีกิ๊ก !!!
Cover Illustration by PankTango
...ผัวหนีไปมีกิ๊ก !!!
Cover Illustration by PankTango
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น